Cached: http://www.hydroworld.com/index/display/news_display.1213332956.html
Pianporn Deetes from Save the River Coalition said the Xayaburi Dam will affect more than 40 villages along the Mekong River, from Louangprabang province to Xayaburi province.
This dam will also affect the incubation of freshwater tropical fish such as giant catfish and other aquatic life as the construction will destroy the islets and boulders where the Mekong giant catfish lay their eggs. She said the river run-off Xayaburi Dam is the first dam that will be built in the Lower Mekong River’s mainstream. The dam will produce 1,260 megawatts of power. The plan to build this hydropower dam was initiated by the Laos government. Thai company Ch Karnchang will invest Bt90 billion in its construction. The total project cost is expected to exceed Bt100 billion. According to the report entitled “MRC Sea for hydropower on the Mekong Mainstream inception Report Vol II”, the inundated area of the Xayaburi dam will cover 49 square kilometres and the length of the reservoir will be 90km. Construction will take seven and a half years. About 10 villages, 391 households, and 2,130 people will need to be relocated. Electricity generated from the plant will be sold to the Electricity Generating Authority of Thailand (Egat) in 2019. Meanwhile, local villagers living along the river voiced concern that the dam construction should not affect their original livelihood. A villager, who did not want to be named and lives near the Xayaburi site, said he had not been given much information about the impact of the dam.Ltd.
Impact study for 12 Mekong dams
HCM CITY — International experts and multi-stakeholders met in HCM City yesterday for the final workshop on the environmental and social impacts of 12 proposed hydropower dams on the mainstream lower Mekong.
About 100 participants from six Mekong countries attended the “Avoidance, mitigation and enhancement” workshop that is part of the “Strategic Environment Assessment (SEA) of Proposed Mainstream Hydropower Dams in the Lower Mekong” study. It is the fourth and final workshop of the series.
“Mekong River is famous for its huge potential of hydropower development, 59,900MW basin-wide and 30,900MW in the Lower Mekong Basin (LMB),” Dr Le Duc Trung director general of the Viet Nam National Mekong Committee told workshop in his opening speech.
“However, negative impacts from hydropower construction on the river-dependent ecosystem and livelihoods of millions of people should be estimated,” Trung said.
Private sector developers will build the 12 mainstream Mekong hydropower dams that are planned for Thailand, Cambodia and Lao under respective government MOUs.
The 1995 Mekong Agreement, signed by Cambodia, Lao, Thailand and Viet Nam, requires that such projects are discussed extensively among all four countries prior to any decision being taken.
The year-long study has researched impacts on regional energy planning; people; fisheries and barrier effects of dams on fish migration; maintenance of ecological integrity and biodiversity; river morphology and sediment balance; and water quality and salinity intrusion.
The two-day workshop aims to avoid or mitigate risks and enhance the benefits of the dams.
It would address key uncertainties including how countries view measures to attenuate for the potential cost to fisheries and other livelihoods in light of the financial and other significant benefits of the dams, said Voradeth Phonekeo, manager of the Mekong River Commission (MRC)’s Initiative on Sustainable Hydropower.
“That discussion, facilitated by the MRC, will consider the full range of social, environmental and cross-sector development impacts within the LMB,” said Jeremy Bird, CEO of the MRC Secretariat.
“The MRC has already carried out extensive studies on the consequences for fisheries and people’s livelihoods and this information is widely available. The SEA provides the necessary broader understanding of the opportunities and risks of such development,” Bird added.
Some of the strategies that have been suggested include the relative merits of mainstream dams over an accelerated programme of tributary hydropower projects or other electricity supply alternatives, and prioritising certain areas important for fish migration and sediment-nutrient management.
Benefits of the 12 dams include a reduction of fossil fuels for electricity and profits from power exports that can be used to finance rural and social development projects.
The complete report on the MRC study that began in May 2009 will be released in August. — VNS
————————————
เมื่อสหรัฐฯส่งสัญญาณต้านเขื่อนในแม่น้ำโขง
Cached: http://www.oknation.net/blog/mekong/2010/10/13/entry-1
การที่วุฒิสมาชิก Jim Webb ใน ฐานะที่เป็นประธานคณะกรรมาธิการด้านความสัมพันธ์ต่างประเทศของรัฐสภาสหรัฐ อเมริกา ได้ออกมาแสดงท่าทีอย่างชัดเจนถึงความกังวลใจของรัฐสภาสหรัฐฯที่มีต่อแผนการ ก่อสร้างเขื่อนบนแนวแม่น้ำโขงจำนวนถึง 12 โครงการในเขตตอนล่างของแม่น้ำโขง เมื่อช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมานั้นนับเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่ธรรมดาทีเดียว
ทั้ง นี้ก็เนื่องจากว่าการแสดงท่าทีดังกล่าวของทางการสหรัฐฯนั้นมิใช่การแสดงท่า ทีในฐานะผู้ที่อยู่นอกวงของการร่วมมือระหว่างประเทศในลุ่มแม่น้ำโขงอีกต่อไป แล้ว หากแต่เป็นการแสดงท่าทีและบทบาทในฐานะที่เป็นภาคีของความร่วมมือระหว่าง ประเทศในลุ่มน้ำโขงกับลุ่มน้ำมิสสิสซิปปี้ ที่ได้มีการเจรจากันครั้งแรกระหว่างรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศของไทย ลาว กัมพูชาและเวียดนามกับ Hillary Clinton รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศของสหรัฐฯ ในโอกาสที่เดินทางมาร่วมประชุมว่าด้วยความมั่นคงในเอเชียและแปซิฟิคครั้งที่ 16 ที่หัวหินในช่วงเดือนกรกฎาคม 2009 นั่นเอง
โดยแผนการก่อสร้างเขื่อนบนแนวแม่น้ำโขงทั้ง 12 โครงการที่วุฒิสมาชิก Jim Webb ได้แสดงท่าทีเป็นห่วงเป็นใยและไม่เห็นด้วยกับการก่อสร้างในครั้งดังกล่าวนี้มี 7 โครงการ ที่ตั้งอยู่ในเขตน่านน้ำของลาว เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งประกอบด้วยเขื่อนปากแบ่ง เขื่อนหลวงพระบาง เขื่อนไซยะบุลี เขื่อนปากลาย เขื่อนสานะคาม เขื่อนลาดเสือ และ เขื่อนดอนสะหง
ส่วนอีก 5 โครงการที่เหลือนั้นมี 3 โครงการตั้งอยู่ในเขตชายแดนแม่น้ำโขงระหว่างลาวกับไทย ซึ่งก็คือเขื่อนสานะคาม เขื่อนปากชม และ เขื่อนบ้านกุ่ม กับอีก 2 โครงการที่ตั้งอยู่ในเขตน่านน้ำของกัมพูชาคือเขื่อนสตึงแตร็ง และเขื่อนซำบอ โดยทั้ง 12 โครงการดังกล่าวนี้จะมีศักยภาพในการผลิตพลังงานไฟฟ้าได้รวมกันมากกว่า 17,000 เมกกะวัตต์หรือเทียบได้กับ 3 ใน 4 ของพลังงานไฟฟ้าทั้งหมดที่คนไทยเราใช้อยู่ในทุกวันนี้เลยทีเดียว
ทั้งนี้โดย Jim Webb ได้ ให้เหตุผลประกอบการแสดงท่าทีที่ไม่เห็นด้วยกับการก่อสร้างเขื่อนบนแนวแม่ น้ำโขงในครั้งดังกล่าวนี้ว่า การสร้างเขื่อนนั้นจะส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมธรรมชาติในลุ่มน้ำโขงอย่าง รุนแรง ทั้งยังจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงด้านเสบียงอาหารของประชากรหลายสิบล้านคน อีกด้วย เพราะเขื่อนจะทำลายระบบนิเวศน์ที่เป็นทั้งแหล่งอาหารและที่ผสมพันธุ์ของ สัตว์น้ำนานาชนิดในลุ่มแม่น้ำโขงสายนี้อย่างกว้างขวางนั่นเอง
ซึ่งหากจะว่าไปแล้วเหตุผลที่ Jim Webb ได้ หยิบยกขึ้นมาดังกล่าวนี้ก็คือเหตุผลอย่างเดียวกันกับของบรรดาองค์กรอนุรักษ์ สภาพแวดล้อมธรรมชาติทั้งในไทยและในระดับสากลที่ได้ร่วมกันเคลื่อนไหวเพื่อ คัดค้านการก่อสร้างเขื่อนในลุ่มน้ำโขงแห่งนี้มาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว โดยไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายแม่น้ำสากล (International Rivers Network) โครงการแม่น้ำเพื่อชีวิต (Living River Siam) โครงการสื่อชุม ชนลุ่มน้ำโขง หรือ มูลนิธิฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ (Foundation for Ecological Recovery) ก็ตาม
พร้อมกันนั้น Jim Webb ก็ยังได้มุ่งเน้นไปถึงการเสริมสร้างบทบาทของ “คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง” (Mekong River Commission—MRC) ให้มีต่อแผนการก่อสร้างเขื่อนในแนวแม่น้ำโขงเหล่านี้ให้มากขึ้นเป็นพิเศษอีกด้วย โดยในที่นี้ก็คือ MRC จะ ต้องแสดงบทบาทในการตรวจสอบว่าโครงการก่อสร้างเขื่อนนั้นๆ ได้ทำการศึกษาวิจัยเพื่อป้องกันปัญหาผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมธรรมชาติได้ มาตรฐานทั้งตามหลักวิชาการและหลักการปฏิบัติอย่างแท้จริงแล้วเท่านั้น
โดยถึงแม้ว่านับตั้งแต่ที่ได้มีการจัดตั้ง MRC ขึ้นมาอย่างเป็นทางการเมื่อ 15 ปีก่อนจนถึงปัจจุบันนี้จะมีเพียงไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนามเท่านั้นที่เป็นประเทศสมาชิกของ MRC ในขณะที่จีนและพม่ากลับยังคงต้องการดำรงสถานภาพเป็นเพียงประเทศผู้สังเกตการณ์ใน MRC เรื่อยมาจนทุกวันนี้ก็ตาม แต่ถ้าหากพิจารณาจากกรอบความร่วมมือที่กว้างกว่า MRC กล่าวก็คือความร่วมมือระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Sub-Region—GMS) นั้น ทั้งจีนและพม่าก็จะต้องร่วมมือกับไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนามอยู่ดี
เพราะฉะนั้น การที่ Jim Webb ในฐานะประธานของคณะกรรมาธิการด้านความสัมพันธ์ต่างประเทศของรัฐสภาสหรัฐฯ ได้มุ่งความสำคัญไปที่การเสริมสร้างบทบาทของ MRC ที่มีสหรัฐฯเป็นผู้บริจาคให้ การช่วยเหลือในด้านงบประมาณร่วมอยู่ด้วยนับตั้งแต่ที่ได้มีการจัดตั้ง MRC ขึ้นมาอย่างเป็นทางการเมื่อ 15 ปีก่อนและเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้นั้น ก็ย่อมจะไม่ใช่ก้าวย่างที่ธรรมดาๆอีกเช่นกัน
ซึ่งก็เป็นเพราะว่าในส่วนของจีนนั้นก็มีแผนการก่อสร้างเขื่อนบนแนวแม่น้ำโขงในเขตมณฑลยูนนานถึง 8 โครงการใหญ่ โดยมาถึงปัจจุบันนี้ก็ปรากฏว่าได้ก่อสร้างเสร็จและผลิตกระแสไฟฟ้าแล้ว 4 โครงการคือเขื่อนม่านวาน เขื่อนต้าเฉาซาน เขื่อนจิ่งหง (เชียงรุ่ง) และเขื่อนเสี่ยววาน ส่วนอีก 4 โครงการที่เหลือนั้น ทางการจีนก็หมายมั่นที่จะก่อสร้างให้เสร็จภายใน 10 ปี ข้างหน้านี้ให้ได้ แต่ที่แน่ๆเฉพาะการสร้างเขื่อนเสี่ยววานแล้วเสร็จเมื่อปีก่อนหน้านี้ ก็ทำให้ประเทศที่อยู่ในเขตตอนล่างของแม่น้ำโขงสายนี้ต่างต้องเผชิญกับวิกฤติ การณ์ขาดแคลนน้ำอย่างหนัก
โดยชาวลาวในนครเวียงจันทน์ต้องเผชิญกับปัญหาน้ำประปาไม่พอใช้นับเป็นเวลากว่า 2 เดือนติดต่อกัน ทั้งๆที่ในทั่วเขตนครเวียงจันทน์มีความต้องการใช้น้ำประปาเพียงไม่ถึง 180,000 ลูกบาศก์ เมตรในแต่ละวันเท่านั้น โดยวิสาหกิจน้ำประปาของรัฐบาลลาวได้ให้เหตุผลว่าเป็นเพราะระดับน้ำในแม่น้ำ โขงที่นครเวียงจันทน์นั้นได้ลดต่ำลงมากสุดเป็นประวัติการณ์ และทำให้ต้องแก้ปัญหาด้วยการนำรถขุดลงไปตักทรายเพื่อทำให้พื้นที่รองรับน้ำ ในแม่น้ำโขงนั้นลึกลงและกว้างขึ้น ทั้งยังต้องขุดร่องเพื่อผันเอาน้ำจากแม่น้ำโขงลงสู่พื้นที่รองรับน้ำดัง กล่าวอีกด้วย
ส่วน ในเขตภาคเหนือของลาวนั้น การเดินเรือโดยสารในแนวแม่น้ำโขงจากท่าเรือห้วยทรายในแขวงบ่อแก้วไปที่ท่า เรือปากแบ่งในแขวงอุดมไซต่อเนื่องไปที่ท่าเรือหลวงพระบางนั้นก็ไม่สามารถ เดินเรือได้เลยทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วร่องน้ำในแม่น้ำโขงที่ภาคเหนือของ ลาวนี้ลึกกว่าร่องน้ำในเขตตอนล่าง
ทั้ง นี้โดยกลุ่มองค์การอนุรักษ์ฯทั้งในไทยและพันธมิตรที่อยู่ในต่างประเทศนั้น เชื่อว่าสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำโขงลดต่ำลงอย่างมากจนผิด ปกติเช่นนี้ ก็เพราะว่าเขื่อนขนาดใหญ่ 4 แห่งบนแนวแม่น้ำโขงในเขตมณฑลยูนนานของจีนนั่นเอง
แต่ ถึงกระนั้น ทางการจีนก็ได้ตอบโต้ว่าไม่เป็นความจริงเลยที่เขื่อนในจีนนั้นคือต้นเหตุของ ภัยแห้งแล้งในเขตตอนล่าง เพราะปริมาตรน้ำที่ไหลจากเขตจีนลงสู่แม่น้ำโขงทั้งสายนั้นคิดเป็นสัดส่วนไม่ ถึง 20% ของปริมาตรน้ำทั้งหมดที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขงตลอดทั้งปีด้วยซ้ำ
ยิ่ง ไปกว่านั้น เขื่อนในจีนยังสามารถที่จะช่วยบรรเทาภัยแห้งแล้งและภัยน้ำท่วมให้กับเขตตอน ล่างอีกต่างหาก ซึ่งก็คือเขื่อนในจีนสามารถที่จะกักเก็บน้ำไว้ได้ในปริมาตรมากๆ โดยไม่ปล่อยน้ำลงมายังเขตตอนล่างในฤดูน้ำหลาก แต่ในช่วงหน้าแล้งก็ยังจะสามารถปล่อยน้ำลงมาเขตตอนล่างได้อีกต่างหาก
อย่าง ไรก็ตาม ระดับน้ำที่ลดต่ำลงอย่างมากในเขตตอนล่างของแม่น้ำโขงจนไม่สามารถเดินเรือได้ และการที่ชาวเวียงจันทน์ต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนน้ำประปาอย่างหนักนั้น ก็น่าจะสามารถลบล้างการกล่าวอ้างสรรพคุณดังกล่าวของเขื่อนในจีนได้เป็นอย่าง ดี โดยถึงแม้ว่าจนถึงทุกวันนี้จะยังคงไม่มีใครหรือฝ่ายใดที่ได้ทำการศึกษาหา ความจริงที่โต้เถียงไม่ได้ก็ตาม แต่ที่แน่ๆ ทางการจีนต้องใช้เงินทุนอีกมากกว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐหรือกว่า 3 เท่าของยอดผลผลิตมวลรวมภายใน (GDP) ของลาวในปีล่าสุดเลยทีเดียว จึงจะสามารถก่อสร้างเขื่อนได้ครบตามแผนการที่วางไว้
ด้วย เหตุนี้ ไม่ว่าจะเป็นใครหรือว่าฝ่ายไหนจะออกมาวิพากษ์วิจารณ์และโจมตีโครงการเขื่อน ยักษ์บนแนวแม่น้ำโขงของจีนอย่างไรก็ตาม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่ทางการจีนจะออกมาตอบโต้และให้การชี้แจงถึง สรรพคุณของเขื่อนยักษ์ของจีนทุกครั้งไป
ยิ่งไปกว่านั้น การที่ทางการจีนไม่เคยแสดงท่าทีที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกใน MRC เลย นั้น ก็เพราะว่าจีนต้องการที่จะสร้างเขื่อนตามความต้องการของตน โดยไม่ต้องมีพันธะผูกพันในอันที่จะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงว่าด้วยการใช้ ประโยชน์จากน้ำในแม่น้ำโขงร่วมกับประเทศใดๆเลยนั่นเอง
แต่ ครั้นเมื่อมหาอำนาจเอกของโลกอย่างสหรัฐฯ ได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนในการคัดค้านแผนการก่อ สร้างเขื่อนบนแนวแม่น้ำโขงเช่นนี้ ทั้งยังได้มุ่งเน้นให้ความสำคัญในการเสริมสร้างบทบาทของ MRC ไป สู่การเป็นองค์กรที่มีอำนาจในการตัดสินชะตากรรมของโครงการก่อสร้างเขื่อน ต่างๆ ในแนวแม่น้ำโขงอย่างแท้จริง โดยการให้การสนับสนุนและประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกลุ่มองค์กรอนุรักษ์ฯที่ ต่อต้านการก่อสร้างเขื่อนในแนวแม่น้ำโขงด้วยแล้ว จึงเชื่อได้เลยว่านับจากวันนี้เป็นต้นไปการเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนใน กิจการที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ในลุ่มแม่น้ำโขงนั้นจะเข้มข้นยิ่งขึ้น!!!
ทรงฤทธิ์ โพนเงิน
——————–
อ่านความคิดเห็น
เรื่องการสร้างเขื่อนทั้งสิบสองแห่งมีผลกระทบกับเทศที่อยู่ใต้ประเทศจีนทุก ประเทศที่ต้องอาศัยแหล่งทรัพยากรน้ำจากแม่น้ำโขง และแม่น้ำโขงไม่ใช่แม่น้ำของจีนประเทศเดียวด้วย แน่นอนว่าประเทศไทยได้รับผลกระทบเต็มๆหากจีนยังทำแบบนี้และเราได้รับผละ กระทบเหล่านี้มาแล้วในช่วงหน้าแล้ง น้ำโขงแห้งขอด เนื่องจากพี่ใญ่เราอย่างจีนกักเก็บน้ำไว้ใช้เองเพียงคนเดี่ยว ซึ่งถือว่าพี่จีนเราเห็นแก่ตัวมากๆในกรณีนี้
เรื่องนี้สำคัญมากๆพอ ดับกรณีเขาพระวิหารนะค่ะ เพียงแต่คนไทยไม่ค่อยตื่นตัวกัน ไม่ค่อยเข้าใจ หรือเป็นเพราะสื่ออกข่าวน้อยไป และเรื่องนี้เป็นปัญหาระดับระหว่างประเทศและระดับประเทศค่ะ ประเทศเล็กๆอย่างเราเมื่อโดนพี่ใหญ่เรารังแกแน่นอน เราก็ต้องหาพี่ใหญ่คนที่มีอำนาจมากกว่าหรือพอๆมาค้านดุลอำนาจของพี่จีนไว้ เพราะประเทศในแทบลุ่มแม่โขงทางตอนใต้ได้พยายามเจรจาแล้วแต่พี่จีนไม่ฟังจะ สร้างเขื่อนสืบสองแห่งอย่าง
เรื่องอยากให้ประชาชนคนไทยช่วยกันติดตามข่าวสารนี้ค่ะ เพราะทรัพยากรน้ำมีมันสำคัญมากทีเดียว
ป.ล.ประเทศเล็กๆ ใต้แม่น้ำโขงจึงร่วมมือกัน เพื่อต่อต้านและต่อเรื่องเรื่องการปั่นน้ำจากแม่น้ำโขงอย่างยุติธรรม..
โหวตให้เรื่องนี้
และอยากให้นำข่าวสารเรื่องนี้มานำเสนออย่างต่อเนื่องด้วยนะค่ะ ขอขอบคุณมากๆล่วงหน้าค่ะ