เขื่อน”ซีพี”
By transbordernews on 9 กรกฎาคม, 2014
Click on the link to get more news and video from original source: http://transbordernews.in.th/home/?p=4770
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ทยอยดำเนินแผนงานก่อสร้างเขื่อนทั่วประเทศทั้งหมด 5 กลุ่ม จำนวนทั้งสิ้น 92 โครงการไปเรื่อยๆ ตามเป้าหมาย “แบตเตอรี่แห่งอุษาคเนย์”
ไม่สนใจว่า เขื่อนจะทำลายล้างวิถีชีวิตคน ชุมชน และแหล่งอาหารโลกอย่างไร
จนเมื่อผมมีโอกาสไปเก็บข้อมูลวิถีชีวิตชาวประมงที่ “สีพันดอน” เมืองโขง แขวงจำปาสักอีกครั้งสัปดาห์ก่อน ตามคำชวนของโครงการพัฒนาทักษะการสื่อสาร ประเด็นสร้างเสริมสุขภาวะในพื้นที่พรมแดน
ขากลับมีโอกาสแวะสังเกตการณ์พื้นที่ก่อสร้างหนึ่งใน 92 โครงการ ความน่าสนใจอย่างยิ่งไม่เพียงเพราะกั้นแม่น้ำโขงเท่านั้น แต่ความน่าสนใจยังอยู่ตรงชื่อเจ้าของโครงการคือ “บริษัท เจริญเอ็นเนอร์ยี แอนด์ วอเทอร์ เอเชีย จำกัด” หนึ่งในเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี)
ถือเป็นครั้งแรกที่ซีพีหันมาเอาดีทางธุรกิจพลังงาน หลังจากเข้าไปทำธุรกิจและอุตสาหกรรมการเกษตรในลาวมานานเกิน 20 ปี
ไม่กี่สัปดาห์ก่อน เจ้าหน้าที่บริษัทยกทีมลงพื้นที่หมู่บ้าน 4 แห่งบริเวณหัวงานสร้างเขื่อน พูดแบบสุภาพคือเก็บข้อมูล แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และสร้างความเข้าใจกับชาวบ้านในข้อดี และประโยชน์โครงการ
พูดอย่างหยาบคายคือ เป็นหนึ่งในแผนเตรียมการอพยพ 4 หมู่บ้าน ราว 1,000 หลังคาเรือนออกไปอยู่พื้นที่อื่น
เขื่อนแห่งนี้ชื่อ “เขื่อนภูงอย” (Phou Ngoy) มีกำลังผลิตไฟฟ้า 651 เมกะวัตต์ สร้างกั้นลำน้ำโขงที่เมืองปากเซ แขวงจำปาสัก จัดอยู่ในกลุ่มลงนามสัญญาข้อตกลงเพื่อการพัฒนาโครงการ (Project Development Agreement) แล้วเมื่อปี 2553 ลาวให้เวลาศึกษาความเป็นไปได้ในทางเศรษฐกิจ วิชาการ สิ่งแวดล้อม และสังคมจนถึงปี 2561
ย้อนกลับไปปี 2551 ชัชวาล เจียรวนนท์ ประธานบริษัท เจริญเอ็นเนอร์ยีฯ กับทองมี พมวิไซ รมช.กระทรวงแผนการและการลงทุนของลาว ร่วมเซ็นบันทึกช่วยความจำเพื่อความเข้าใจโครงการเขื่อนแห่งหนึ่งที่นคร เวียงจันทน์
ในบันทึกดังกล่าว รัฐบาลลาวอนุญาตให้เครือซีพีสำรวจและศึกษาโครงการเขื่อนกั้นลำน้ำโขงที่จุด บ้านลาดเสือ เมืองซะนะสมบูน แขวงจำปาสัก ภายในเวลา 30 เดือน หากคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ผู้ลงทุนจากไทยจะได้รับอนุญาตให้ก่อสร้าง มีอายุสัมปทาน 30 ปี
แต่ด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบ เขื่อนลาดเสือแปรเปลี่ยนมาเป็นเขื่อนภูงอย และย้ายจากเมืองซะนะสมบูนมาอยู่ปากเซ
ผมเดินขึ้นวัดภูงอย ความสูงระดับ 400 ขั้น ไปถ่ายภาพมุมสูง ดูจุดที่จะสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงบริเวณดอนเลา โดยดอนเลาจะเป็นเหมือนแกนกลางเขื่อนพอดี
พูดคุยกับชาวบ้านจึงทราบว่า ทางเจ้าหน้าที่บริษัท และเจ้าหน้าที่รัฐยืนยันว่า น้ำจะไม่ท่วมบริเวณนี้แน่ แม้ส่วนใหญ่จะรับฟังด้วยดี แต่ชาวบ้านก็ไม่เชื่อ ต่างยืนยันว่าจะไม่ยอมย้ายหนีไปไหน
“แกนนำชาวบ้านบางคนถึงกับท้าว่า มีเขื่อนวันไหน จะยืนรออยู่ตีนภูงอย ถ้าน้ำไม่ท่วมตีนภู ให้เอาปืนมายิงหัวตรงนั้นเลย”
ไม่รู้ซิครับ ขายไก่ซีพี ปลาซีพี ข้าวแกงซีพีแล้ว นี่ยังจะขาย “ไฟฟ้าซีพี” อีกเหรอ
ผลิตโภคภัณฑ์ขายจนรวยเละ ภาพลักษณ์เฟี้ยวฟ้าวแล้ว อยู่ดีไม่ว่าดี จะข้ามพรมแดนไปรบกวนชาวลาวให้เสียรังวัดทำไม
ข้อยบ่เข้าไจ๊เจ้าจิงๆ
——————-
อนึ่ง ภายหลังจากงานเขียนชิ้นนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ทางทีมประชาสัมพันธ์ของซีพีได้โทรศัพท์แจ้งมายังผู้เขียนว่า โครงการนี้ไม่อยู่ในเครือซีพี โดยนายชัชวาลเป็นหลาน มิได้เกี่ยวข้องกับกิจการซีพี
คอลัมน์ โลกนี้มีรากหญ้า มติชน 8 กค.
ข้อเท็จจริงจากสีพันดอน-ดอนสะโฮง บนทางเลือก เขื่อน vs วิถีดั้งเดิม
By transbordernews on 5 กรกฎาคม, 2014
ท่าทีจาก 3 ประเทศตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาทำให้ในครั้งนี้ทางการลาวยอมถอย 1 ก้าว อย่าไรก็ตามนายวีระพง วีระวง ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานและเหมืองแร่ของลาวยังยืนยันชัดเจนว่า “ด้วยความร่วมมือ รัฐบาลลาวจะเดินหน้าพัฒนาโครงการ (เขื่อนดอนสะโฮง) อย่างรับผิดชอบและยั่งยืน”
กระบวนการปรึกษาหารือล่วงหน้า มีขั้นตอนคือลาวส่งเอกสารโครงการให้แก่ MRC และประเทศสมาชิก จากนั้นแต่ละประเทศจัดเวทีหารือ ตามแต่ที่กำหนดไว้ในกฎหมายของประเทศตน (กรณีเขื่อนไซยะบุรี ไทยจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน 3 ครั้ง แต่ชาวบ้านเห็นว่าไม่เพียงพอจนนำมาซึ่งการฟ้องศาลปกครอง ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งรับฟ้องคดีสัญญารับซื้อไฟฟ้าเมื่อปลายเดือน มิย. )
กระบวนการนี้มีกรอบเวลา 6 เดือน เท่ากับว่าการก่อสร้างยังไม่ควรเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีนี้ แต่นายฮันส์ กุตส์แมน ผู้บริหาร MRC ก็ได้ออกตัวว่าไม่มีกระบวนการให้ประเทศสมาชิก “โหวต” ไม่ให้ก่อสร้างเขื่อนน้ำโขง แม้จะเกิดประเด็นข้ามพรมแดนก็ตาม
ความคลุมเครือจากที่ประชุมMRC เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ขณะที่ชาวบ้านที่หากินอยู่กับปลา อยู่กับหลี่ แทบไม่เคยรับรู้ข่าวสารใดๆ และได้แต่ก้มหน้าเผชิญชะตากรรมเมื่อทางการลาวสั่งเตรียมตัวห้ามหาปลาโดยใช้ หลี่
“เขาบอกว่าปีนี้ให้ทำหลี่ได้เพราะเรายังไม่มีอาชีพอื่น แต่ผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะห้ามเด็ดขาดเมื่อไหร่ เพราะฮูอื่นๆทั้งที่ฮูช้างเผือก ฮูสะดำ เขาห้ามทำหลี่แล้ว ผมคิดว่าพอเขาสร้างสะพานเสร็จก็คงห้ามเรา” พ่อตัน (นามสมมุติ) คนหาปลาบอกถึงความกังวลใจ แกมีหลี่อยู่ 3 หลัง แต่ปีนี้น้ำท่วมไปแล้ว 2 หลังซึ่งก็ได้ปลาไปแล้วมากพอสมควร เหลืออีก 1 หลังซึ่งยังได้ปลาอยู่วันละนับร้อยกิโลกรัม
ตาดโพเป็นระบบนิเวศที่สำคัญของฮูสะโฮง และชาวบ้านใช้เป็นพื้นที่สร้างหลี่และลวง หากเมื่อใดสร้างเขื่อนปิดท้ายฮูสะโฮงสำเร็จ บริเวณนี้จะกลายเป็นอ่างเก็บน้ำที่ไม่เหลือร่องรอยของตาดโพและหลี่อีกต่อไป
เฉพาะที่ตาดโพมีหลี่อยู่ 20 กว่าหลัง และลวง 7 หลัง ทั้งหลี่และลวงเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของคนสีพันดอนอันน่าทึ่ง โดยหลี่อาศัยความเชี่ยวกราดของกระแสน้ำให้เป็นประโยชน์ ซึ่งโดยธรรมชาติของปลาจะว่ายทวนน้ำขึ้นไปหากินและวางไข่โดยเฉพาะในฤดูน้ำ หลาก หลักการของหลี่คือปลาตัวใดที่ไม่สามารถต้านความแรงของน้ำได้ก็จะไหลตาม น้ำตกลงไปในหลี่ที่วางอยู่ตามฮูน้ำต่างๆ แต่ไม่ใช่ว่าทุกฮูจะสร้างหลี่ได้ ตรงนี้เป็นภูมิปัญญามาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ เพราะต้องรู้ว่าฮูใดมีปลาว่ายและหากหมดแรง ปลาจะตกมาในทิศทางใด
ส่วนลวงนั้น หลักการก็เหมือนลอบดักปลาในบ้านเรา เพียงแต่สร้างเป็นกรงใหญ่สี่เหลี่ยมโดยหล่อเสาหลักให้แน่น เพื่อให้ต้านทานความแรงของสายน้ำ และขังปลาขนาดใหญ่ไว้ได้
“หลี่ของพ่อเป็นมรดกมาจากบรรพบุรุษ ไม่รู้ว่ากี่รุ่นต่อกี่รุ่น ตั้งแต่จำความได้ก็ตามปู่ ตามพ่อ ไปหลี่แล้ว รวมๆแล้วหลี่นี่น่าจะอายุเป็นร้อยๆปี สมัยก่อนปลามากมายกว่านี้ บางปีหนักถึงขนาดหลี่แตก เพราะเราเข้าไปเก็บปลาไม่ทัน ขนาดจ้างคนช่วยกันขน ก็ยังไม่ทัน พอปลามันอัดกันมากๆแล้วโดนกระแสน้ำแรงๆ หลี่ก็แตก เราเจอเหตุการณ์แบบนี้มาหลายครั้งแล้ว บางทีต้องรีบตักปลาทิ้งอย่างไม่เสียดาย” พ่อตันเล่าถึงบรรยากาศในวันที่กองทัพปลามาถึงเมื่อครั้นอดีต
ผู้เฒ่าบอกว่าที่ผ่านมาทางการลาวได้ปิดประกาศห้ามหาปลาโดยใช้หลี่ โดยแจ้งว่าจะหาอาชีพใหม่มาทดแทน แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีอะไรชัดเจน ที่สำคัญคือยังไม่มีใครพูดถึงเรื่องค่าชดเชยใดๆ “ต่อให้ใครมาซื้อสัก 200 ล้านกีบ พ่อก็ไม่ขาย เพราะหลี่หากิน หาอยู่ได้ทุกปี แค่ปีที่แล้วเพียงปีเดียว เราได้เงินจากการขายปลาคนละ 20 ล้านกีบ จากจำนวนคนทั้งหมด 7 คน พ่ออยากเก็บหลี่ไว้ให้ลูกให้หลานได้มีอยู่มีกิน เหมือนที่ปู่และพ่อยกสมบัติชิ้นนี้ให้เรา”
แต่ดูเหมือนความต้องการของพ่อตันกับความเป็นจริงจะสวนทางกัน เพราะขณะนี้บริษัทที่ได้รับสัมปทานสร้างเขื่อนกั้นฮูสะโฮงได้เริ่มสร้าง สะพานจากแผ่นดินใหญ่บริเวณเวินคามมาสู่ดอนสะดำซึ่งอยู่ติดกับฮูสะโฮง เพื่อขนเครื่องมือและอุปกรณ์หนักเข้ามาใช้สำหรับสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ แต่เขื่อนดอนสะโฮง มีกำลังผลิตติดตั้งเพียง 260 เมกกะวัตต์ เทียบได้เป็น 2 เท่าของเขื่อนปากมูลเท่านั้น
“หากเขามาสร้างเขื่อนจริงๆ เราจะไปทำอะไรได้ รัฐบาลว่าอย่างไร เราก็ต้องทำตามนั้น” น้ำเสียงของพ่อเฒ่าดูเหมือนปลงตกและยอมจำนนต่อโชคชะตา เช่นเดียวกับคนเล็กคนน้อยทั่วไปในลาว สุดท้ายเมื่อทางการอ้างถึง“ประโยชน์ส่วนรวม” ก็ยากที่จะตั้งคำถามอื่นใด
เย็นย่ำแล้ว ชาวบ้านบางส่วนกำลังช่วยกันต้อนปลาอยู่ในลวงพร้อมกับมีเสียเฮเล็กๆทุกครั้ง เมื่อได้ปลาเพี้ยขนาด 2-3 กิโลกรัม ขณะที่อีกหลายคนช่วยกันหอบหิ้วปลาขนาดใหญ่ที่ได้จากหลี่ขึ้นมาขายพ่อค้าคน กลาง ส่วนปลาเล็กแบ่งกันเป็นกองๆ เพื่อเอากลับไปทำกินที่บ้าน
แม้ปีนี้จะได้ปลาไม่เยอะเหมือนปีก่อน แต่พวกเขายังหวังว่าในปีต่อๆไปจะยังมีโอกาสหาปลาที่ตาดโพเช่นเดิม เหมือนกับวิถีที่เคยเป็นมานับร้อยๆปี
เรื่อง และภาพโดย โลมาอิรวดี
————-
ข้อเท็จจริงจากสีพันดอน-ดอนสะโฮง บนทางเลือก เขื่อน VS วิถีดั้งเดิม (จบ)
By transbordernews on 11 กรกฎาคม, 2014
Click on the link to get more news and video from original source: http://transbordernews.in.th/home/?p=4785
เรือน้อย 4 ลำวิ่งลัดเลาะยอดลำแซงที่โผล่พ้นน้ำมาแค่ยอดไม้ ซึ่งเมื่อไม่กี่วันก่อนบริเวณนี้ยังคงเป็นป่าดอนริมน้ำโขง แต่พอกลางเดือนมิถุนายน น้ำได้สูงเอ่อขึ้นจนท่วมท้น ซึ่งเป็นวัฎจักรประจำปีของระบบนิเวศในสีพันดอน ดินแดนทางตอนใต้ของประเทศลาว
เมื่อน้ำใหญ่มาถึง หรือเข้าสู่ฤดูน้ำหลาก นั่นหมายถึงเทศกาลจับปลาครั้งใหญ่มาถึงแล้วเช่นกัน ทั่วทั้งเมืองโขง แขวงจำปาสัก จึงคึกคักเป็นอย่างมาก ไม่น่าเชื่อว่าสัตว์น้ำประเภทเดียวที่ชื่อ “ปลา”จะทำให้ระบบเศรษฐกิจทั้งเมืองหมุนเวียนเติบโตอย่างมีชีวิตชีวา
ช่วงปลายเดือนมิถุนายนจนถึงต้นเดือนกรกฎาคม 2557 สื่อมวลชนกลุ่มเล็กๆโดยการสนับสนุนของทีมงานโครงการพัฒนาทักษะการสื่อสารทำ ข่าวสืบสวนฯ ได้ชักชวนกันมาสำรวจความอุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำโขงในฤดูที่กองทัพปลากำลังมา เยือนสีพันดอน
นอกจากได้เห็นปลามากมายที่กองอยู่ในตลาดนากะสังซึ่งเป็นสถานที่รับซื้อ ปลาใหญ่ที่สุดในเมืองโขงแล้ว พวกเรายังได้ตระเวนดูการจับปลาด้วยวิธีต่างๆโดยเฉพาะ “หลี่” ซึ่งได้ปลาคราวละมากๆ
พวกเราเดินทางไปยังดอนคอนเกาะ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองโขงและติดกับชายแดนลาว-กัมพูชา โดยต้องนั่งเรือลำเล็กเพราะต้องลัดเลาะเกาะแก่งต่างๆ และน้ำอันเชี่ยวกรากในหลายช่วงซึ่งเรือใหญ่ไม่สามารถไปได้ ที่สำคัญคือคนขับเรือต้องมีความรู้ความชำนาญพื้นที่พอสมควร
เมื่อใกล้ถึงดอนคอนเกาะ เห็นกำแพงน้ำมาแต่ไกล โดยบริเวณดังกล่าวในหน้าแล้งจะเห็นเป็นน้ำตกจากหน้าผาใน 3 จุดที่ชาวบ้านเรียกว่าคอนฝั่ง คอนขามและคอนหลง แต่พอถึงหน้าน้ำ เมื่อแม่น้ำโขงยกระดับขึ้น ทั้ง 3 คอนได้เชื่อมต่อกันกลายเป็นกำแพงน้ำขนาดใหญ่ยาวนับกิโลเมตร
“ปีนี้เราได้ปลากันไม่เยอะ เพราะน้ำมาเร็วและเป็นน้ำที่ใส ไม่เหมือนปีก่อนๆที่พอฝนตกแล้วน้ำค่อยๆมาและเป็นน้ำขุ่น ทำให้ปลามาไม่ทัน กว่าปลาจะมาถึงน้ำก็ท่วมหลี่ไปเยอะแล้ว” พ่อเฒ่ารายหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของหลี่บนดอนคอนเกาะ เล่าถึงสถานการณ์การหาปลาในปีนี้ ซึ่งตรงกับคำบอกเล่าของคนหาปลาในหลายแห่ง
“ปีนี้เพิ่งได้ปลาไปไม่กี่ร้อยโล” คำพูดของแกดูเหมือนพูดเล่น ทำเอาคนนอกตาโต แต่ในความเป็นจริง คนที่นี่เขานับปลากันเป็นตัน เพราะแต่ละปีมีปลาลงหลี่มากมาย บางหลี่ปีเดียวได้ปลานับสิบตัน
นอกจากในช่วงต้นฝนเดือน 6-7 ที่ได้ปลากันมากๆแล้ว ช่วงเดือน 9 ปลาจะลงหลี่มากอีกครั้ง โดยเฉพาะในย่านตอนคอนเกาะ
สีพันดอนในซีกตะวันตกนี้ มีคอนและเกาะแก่งมากมาย ซ่อนเร้นความอุดมสมบูรณ์และความงามของน้ำตกไว้ให้ชวนอัศจรรย์ใจ
แต่ที่น่ากังวลคือขณะนี้มีโครงการสร้างเขื่อนอย่างน้อย 2 แห่งกำลังล้อมกรอบสีพันดอน โดยโครงการแรกคือเขื่อนดอนสะโฮง ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ แม้ล่าสุดในการประชุมคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (เอ็มอาร์ซี) ที่จัดขึ้นในกรุงเทพฯ ทางการลาวจะมีท่าทีรับฟังเสียงท้วงติงของเวียดนาม กัมพูชา และไทย มากขึ้น และยอมให้โครงการเขื่อนดนสะโฮงเข้าสู่กระบวนการปรึกษาหารือล่วงหน้า ตามข้อตกลงแม่น้ำโขง พศ. 2538 แต่ยังประกาศเดินหน้าพัฒนาเขื่อนดังกล่าวต่อไป
ขณะที่ด้านเหนือขึ้นมาจากสีพันดอน บริเวณดอนเลา ใกล้วัดภูงอย ห่างจากเมืองปากเซ เมืองเอกของแขวงจำปาสักเพียง 14 กิโลเมตร และห่างจากอำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานีราว 50 กิโลเมตร บริษัทสัญชาติไทยในนามบริษัทเจริญวอเตอร์แอนด์เอนเนอร์ยี เอเชีย ในเครือซีพี กำลังสำรวจข้อมูลในชุมชน เพื่อพัฒนา “โครงการเขื่อนภูงอย” หรือ “ลาดเสือ 2 “
“คณะสำรวจได้แจ้งชาวบ้านเบื้องต้นว่าหากสร้างเขื่อนแห่งนี้ต้องอพยพ ประชาชนออกจากพื้นที่ จำนวน 4 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านผักแพว บ้านนาขอนแก่น บ้านดอนปาข่อ และบ้านมอพุ รวมราว 1,000 หลังคาเรือน“ ชาวบ้านในพื้นที่รายหนึ่ง ยืนยันการเดินหน้าของโครงการสร้างเขื่อนภูงอย
เขื่อนภูงอยจะกั้นแม่น้ำโขงในลาวเป็นแห่งที่ 2 นอกจากเขื่อนไซยะบุรีที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งเมื่อปลายเดือนมิถุนายน ศาลปกครองสูงสุดก็ได้มีคำสั่งรับฟ้อง กรณีที่ชาวบ้านไทย 37 คน ในเครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง ได้ฟ้องการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และอีก 4 หน่วยงานรัฐ ซึ่งลงนามสัญญารับซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนไซยะบุรีโดยไม่ปฏิบัติตามกฎหมายของ ประเทศไทย
คะเนจากจุดสร้างเขื่อนภูงอยซึ่งเป็นบริเวณที่แม่น้ำโขงแผ่ออกกว้างเกือบ กิโลเมตร เดาได้ว่าเขื่อนภูงอยจะมีกำลังผลิตติดตั้งไม่ต่ำกว่า 1,000 เมกกะวัตต์ แต่จนถึงวันนี้ข้อมูลเขื่อนยักษ์แห่งนี้กลับมีการเปิดเผยสู่สังคมน้อยมาก
“เราไม่เคยได้ยินว่าจะมีการสร้างเขื่อนข้างบนเลย เคยได้ยินแต่ที่ดอนสะโฮง” ชาวบ้านรายหนึ่งที่กำลังหิ้วปลาพวงใหญ่กลับจากหลี่แสดงอาการกังวลอย่างเห็น ได้ชัดเมื่อได้ยินข้อมูลเกี่ยวกับสร้างเขื่อนแห่งใหม่บนแม่น้ำโขง
“ปีนี้เราได้ปลาน้อย ผมว่ามันก็น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งมาจากเขื่อนในจีน เพราะน้ำเหนือที่ไหลมาน่าจะเป็นน้ำจากเขื่อน ไม่ใช่น้ำธรรมชาติ เพราะมันใส” เขาคาดเดาปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น ณ สีพันดอน ในปีนี้
“ด้านล่าง เขาก็ระเบิดหินในฮูสะดำและฮูช้างเผือกไปเมื่อปีก่อนแล้ว ทำให้ปีนี้ปลาไม่ค่อยมาที่นี่”
ฮูสะดำและฮูช้างเผือกที่เขาพูดถึงคือช่องน้ำ 2 ด้านที่ขนานกับฮูสะโฮง ซึ่งบริษัทสัมปทานสร้างเขื่อนได้ระเบิดหินในลำน้ำเพื่อให้ปลาว่ายทวนกระแส น้ำขึ้นมายังด้านบน และห้ามชาวบ้านใช้หลี่ในบริเวณดังกล่าว ทำให้ความเดือดร้อนส่งผลกระทบกันเป็นลูกโซ่
สองโครงการเขื่อนที่จะปิดหัวปิดท้ายมหานทีสีพันดอน ทำให้วังเวงใจว่าหากกลไกในภูมิภาคที่มีอยู่สำหรับ 4 ประเทศลุ่มน้ำโขงนั้นไม่สามารถทัดทานโครงการใหญ่ที่สร้างผลกระทบร้ายแรงต่อ ประชาชนนับล้านๆ คนได้
สีพันดอนแหล่งประมงน้ำจืดใหญ่แห่งลุ่มน้ำโขง เคยสะสมความมั่นคั่งด้วยกองทัพปลา จนสามารถสร้างอาณาจักรโบราณอันยิ่งใหญ่ก่อนนครวัด-นครธม วันนี้กำลังสายน้ำกำลังถูกสร้างกำแพงยักษ์กั้น และกองทัพปลากำลังถูกปิดกั้น
หรือวิถีวัฒนธรรมอันยาวนานของคนและปลากำลังในสีพันดอนกำลังกลายเป็นตำนาน
เรื่องและภาพโดย โลมาอิรวดี